รูปถ่ายซีเปียครูบาศรีวิชัยพัดเดี่ยวคณะราษฎร์ นั่งบริกรรมลูกประคำ ถ่าย
ณ.วัดพระสิงห์ ปี ๒๔๗๕ จังหวัดเชียงใหม่ กับรูปถ่ายนั่งเก้าอี้หวายถ่ายที่ต้นชบาแดงบน
วัดพระธาตุจอมทอง จ.พะเยา ปี ๒๔๖๗ ในคราวไปบูรณะวัดพระเจ้าตนหลวง ตนบุญผู้ที่มีบารมีสูงสุดของล้านนา ขนาดทั้ง 2
บานเท่ากัน 3 * 4 นิ้ว ไม่รวมการด์รอง เจ้าของเดิมนำจับมาใส่รวมกัน
โดยเฉพาะรูปถ่ายคณะราษฎร์จัดเป็นรูปที่หายากต้นแบบล็อกเก็ตปี ๒๔๘๒ ถ่ายเมื่อครั้งดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส
วัดพระสิงห์ ถ้าสังเกตุพัดรองจะมีคำว่าคณะราษฎรเป็นรูปที่บันทึกความทรงจำทางประวัติศาสตร์ของทางล้านนาภาคเหนือ
เรียนรู้ประวัติศาสตร์มองผ่านภาพถ่าย ภายหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองใน ปี ๒๔๗๕ ในปีนั้นจากบันทึก
ทางคณะราษฎรได้ส่งรัฐมนตรีผู้เป็นเพื่อนเก่าของเจ้าหลวง คือพระยาสุริยา-นุวัตร
(เกิด บุนนาค) เป็นผู้แทนขึ้นไปเยี่ยมเยียนเมืองเชียงใหม่
วัตถุประสงค์สำคัญคือดูท่าทีของเจ้านายฝ่ายเหนือที่มีต่อรัฐบาลระบอบใหม่
พระยาสุริยานุวัตรมีรายงานมายังพระยามโนปกรณ์นิติธาดา ประธานคณะกรรมการราษฎร
(คือตำแหน่งนายกรัฐมนตรีตามศัพท์สมัยหลังการอภิวัฒน์ใหม่ๆ) เล่าความที่ได้ทราบมาระหว่างอยู่ที่เชียงใหม่ว่า คนสำคัญที่มีอำนาจยิ่งใหญ่กว่าเจ้านายทั้งสิ้นในเมืองเชียงใหม่นั้น
มีเถรรูปหนึ่งชื่อตุ๊เจ้าศรีวิไชย เป็นเจ้าคณะวัดสิงห์ เชื้อกะเหรี่ยง ตำบลบ้านปาง
แขวงเมืองนครลำปาง ซึ่งคนนับถือทั้งเมือง ตลอดจนถึงเชียงตุง
จะว่าอะไรหรือจะปรารถนาอะไรคงสำเร็จทั้งสิ้น เถรองค์นี้ถือพุทธศาสนาเคร่งครัดมาก มีฉันอาหารวันละมื้อ
และไม่ฉันอาหารเนื้อสัตว์ เป็นต้น มีศรัทธาในทางปฏิสังขรวัดยิ่งกว่าทางอื่น
ได้ซ่อมแซมวิหารและพระเจดีย์ที่สลักหักพังมามากแห่งแล้ว ถึงตัวจะไม่มีเงินทองเลย
เมื่อตกลงทำการบุญที่ไหนแห่งใด ราษฎรไทย ลาว เงี้ยว พม่า คงจะนำเงินมาถวายเข้าด้วย
ส่งเสบียงอาหารและช่วยออกแรง ออกเครื่องใช้ก่อสร้างให้โดยไม่คิดค่าจ้าง
แม้แต่ฝรั่งในเมืองเชียงใหม่ที่เป็นมิจฉาธิถิก็ยังพลอยเลื่อมใสช่วยเหลือด้วย เมื่อเป็นดังนั้นพระยาสุริยานุวัตรจึงแวะไปนมัสการ ตุ๊เจ้าศรีวิชัย ที่กำลังบูรณะวัดสวนดอก เชียงใหม่
และได้พบเห็นบรรยากาศการทำงานของท่านเวลานี้ตุ๊เจ้าศรีวิชัยกำลังปฏิสังขรวัดสวนดอกอยู่ ข้าพเจ้าได้ไปดูก็เว้นที่จะชมอภินิหารของเธอไม่ได้
สร้างวิหารยาวใหญ่เพียงที่ได้ทำมาถึงเพียงนี้ ยังไม่ทันถึง ๑๐
เดือนก็เกือบจะสำเร็จแล้ว ยังแต่จะปิดทอง ประดับกระจกที่ลวดลายตามเสาและผนัง ตุ๊เจ้าศรีวิชัยบอกว่า
ชาวบ้านเรี่ยไรเงินไปให้ไม่ถึงหกหมื่นบาทเศษ แต่วิหารขนาดใหญ่เพียงที่ทำมาได้นี้
ถ้าเป็นในกรุงเทพฯ คงจะสิ้นเงินกว่าสองแสนบาท
แล้วชาวบ้านหญิงชายอุตส่าห์ขนอิฐไปส่งคนละเก้าแผ่นสิบแผ่น ยังมีหญิงสาวแก่ ขนทราย
หาบหรือกระเดียดกระจาดไปส่งต่อเนื่องกันเสมอ
ยังมีพวกขนเข้าและเสบียงอาหารไปช่วยเลี้ยงคนทำงานอีกเป็นอันมาก ดูไปก็น่าเลื่อมไสได้จริง ภายหลังจากครูบาศรีวิชัย มรณะภาพ
ได้จัดทำล็อกเก็ตที่มีรูปครูบาฯลักษณะเดียวกับรูปนี้ที่เป็นทรงไข่ฝาเหล็กมีกลัดออกมาในปี
๒๔๘๒ ซึ่งไม่ทันครูบาฯ ถ้าเป็นล็อกเก็ตทรงไข่ที่รูปครูบาศรีวิชัยอยู่ในนั้นจะออกปี
๒๔๘๒ หลังจากท่านได้มรณะภาพไปแล้ว จัดเป็นรูปที่หาตัวจริงยากมากรูปหนึ่ง
|